วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มะละกอ

ตื่นตาแปลง"มะละกอฮอลแลนด์"สวนเงินล้าน "อนุพงษ์ จงใจลาน"

"อุ๊ย! ดกจังเลย" เสียงหนึ่งของทีมงานอุทานออกมาราวกับยังไม่ผ่านการกลั่นกรองจากส่วนใดของโสตประสาท พลันทีที่เห็นผลมะละกอเกาะกลุ่มหุ้มลำต้นตั้งแต่โคนต้นเกือบถึงปลายยอดราวกับฝูงปลิงที่เกาะขากระบือ ทำให้ทุกคนหันไปมองในจุดเดียวกัน


 ทุกคนฉงนและตื่นตากับความดกของผลมะละกอที่ อนุพงษ์ จงใจลาน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ต.มะนาวหวาน อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ปลูกบนเนื้อที่ราว 25 ไร่ ใกล้บ้านพักเนื่องเพราะปัจจุบันยากต่อการที่จะพบเห็นสวนมะละกอที่รอดพ้นจากโรคไวรัสใบด่างจุดวงแหวน และเพลี้ยแป้ง จนถึงขนาดมีลำต้นที่อุดมสมบูรณ์และออกผลผลิตที่ดกเช่นนี้
 ที่สำคัญต้นมะละกอที่ทุกคนแลเห็นมีอายุกว่า 1 ปีแล้ว เป็นมะละกอรุ่นที่ 4 แต่ต้นมะละกอยังคงสภาพที่สมบูรณ์ และจากความสมบูรณ์ของต้นมะละกอนี้เอง ทำให้แต่ละรุ่น อนุพงษ์ โกยเงินเข้ากระเป๋ารุ่นละถึงหลักล้านบาททีเดียว
 เดิมทีไร่มะละกอแห่งนี้ อนุพงษ์ กับ ประภา จงใจลาน ซึ่งเป็นภรรยา ทำไร่อ้อย ส่งเข้าโรงงานน้ำตาลของบริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด ซึ่งประภาทำงานอยู่ฝ่ายจัดซื้อของบริษัทแห่งนี้ มีเนื้อที่ปลูกอ้อยทั้งหมดกว่า 100 ไร่ ทำไร่อ้อยมาราว 20 ปีแล้ว กระทั่งประภาได้อ่านนิตยสารด้านการเกษตรฉบับหนึ่ง (รักษ์เกษตร) เมื่อ 3 ปีก่อน ที่ตีพิมพ์เรื่องมะละกอที่บ้านนาล้อม จ.สุพรรณบุรี จึงเกิดความสนใจขึ้นมา จึงเดินทางไปที่บ้านนาล้อมเพื่อศึกษาข้อมูลในการปลูกมะละกอ จากนั้นลองปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ แปลงแรกกว่า 10 ไร่ ในปี 2549 และผลผลิตที่ได้มาก็ส่งขายที่บ้านนาล้อมนั่นเอง

 "ตอนแรกว่าจะปลูก 20 ไร่ แต่พอไปซื้อเมล็ดพันธุ์มะละกอที่บ้านนาล้อมได้มา 5 หมื่นเมล็ด แต่กว่าจะได้ 5 หมื่นเมล็ด ต้องสั่งซื้อถึง 2-3 ครั้ง เพราะเมล็ดพันธุ์ไม่พอ จึงปลูกไว้เพียง 10 ไร่ ใช้เงินทุนทั้งหมด 6 แสนบาท ปลูกครั้งแรกต้องซ่อมใหม่อีก เพราะบางครั้งเมื่อปลูกไปแล้วเป็นมะละกอมีเพศที่ไม่ต้องการคือเพศผู้ ผลผลิตไม่สวย รูปทรงกลม ตลาดไม่ต้องการ ต้องคัดทิ้ง จะคงไว้ต้นกะเทยซึ่งจะมีเกสรตัวผู้ในดอกเดียวกัน เวลาออกผลจะยาวเรียว สวยงามเป็นที่ต้องการของตลาด เมื่อคัดแล้วรุ่นแรก ต้นมะละกอเติบโตจนสามารถเก็บผลผลิตได้เพียง 4,000 ต้นเท่านั้น" ประภากล่าว
 อย่างไรก็ตาม ประภายอมรับว่า การปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ปีแรกถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เพราะมะละกอที่ปลูกแปลงแรก 10 ไร่ ได้ผลผลิตถึง 150 ตัน เก็บได้ 1 ปีครึ่ง พอเริ่มมีเพลี้ยแป้งลงจะตัดต้นทิ้งทันที ปีถัดมาเก็บเมล็ดพันธุ์เองในสวน โดยคัดจากต้นที่สมบูรณ์ ให้ผลผลิตดี พอปลูกขึ้นมาพบว่าเมล็ดงอกดีและมีเปอร์เซ็นต์เป็นต้นกระเทยเกือบ 100%
 ด้าน อนุพงษ์ บอกว่า การปลูกมะละกอหลายคนแทบไม่เชื่อเลยว่ามะละกอรุ่นแรกที่ปลูกปี 2549 ส่งขายที่บ้านนาล้อมในราคาประกันเพื่อป้อนตลาดบน จึงมีการคัดเป็น 3 เกรด คือเกรดเอ เกรดบีบี และเกรดซี ราคาตั้งแต่ กก.ละ 8-15 บาท ที่เหลือเป็นมะละกอตกเกรด ไม่ได้เงินเลยเพราะต้องทิ้งไป ตอนหลังจึงเปลี่ยนมาส่งให้แม่ค้าตลาดไทแทน ราคาถูกกว่าแต่ก็ไม่ต้องคัดเกรด
 "มะละกอแปลงแรก 10 ไร่ ที่ส่งให้บ้านนาล้อมก็ได้เงินหลักล้านเหมือนกัน พอแปลงที่ 2 ปลูก 12 ไร่ มะละกอติดผลดกมากๆ แต่พลาดตรงที่ให้น้ำมากเกินไปทำให้มะละกอไม่หวาน ตอนนั้นมะละกอหวานแค่ 8-9 บริกซ์ จากปกติต้องหวาน 12-13 บริกซ์ขึ้นไป จึงส่งให้บ้านนาล้อมส่วนหนึ่งได้เงินมา 7 แสนบาท ที่เหลือส่งเข้าโรงงานแปรรูปในราคา กก.ละ 4-5 บาท พอรุ่นต่อมาส่งให้แม่ค้าที่ตลาดไท มาถึงรุ่นที่ 3 ปลูกในพื้นที่ 20 ไร่ เก็บผลผลิตอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 10 ตัน จะเก็บได้ครั้งละ 10 ตัน ประมาณ 8 ครั้ง จากนั้นก็จะเริ่มลดลงเหลือ 8 ตัน 7 ตัน 6 ตัน ลดลงมาเรื่อยๆ จนถึง 1 ตัน อย่างแปลงนี้เก็บมาได้ 270 ตัน แล้วส่งตลาดไททั้งหมดในราคาที่ไม่คัด กก.ละ 10 บาท ได้เงินมากว่า 2 ล้าน หากเทียบกับการปลูกอ้อยมา 20 ปีแล้วในพื้นที่ 100 ไร่ สู้ปลูกมาละกอ 20 ไร่ไม่ได้เลย" อนุพงษ์ กล่าว
 กระนั้นยังยอมรับว่าการปลูกมะละกอรุ่นแรกต้นสูงพอสมควร อย่างเขาปลูกรุ่นแรกในพื้นที่ 10 ไร่ ใช้เงินทุนถึง 6 แสนบาท เพราะต้องลงทุนเรื่องระบบน้ำด้วย ค่าปุ๋ย ค่ายาต่างๆ รวมถึงค่าแรงงานด้วย อีกอย่างในปีแรกเขาขาดประสบการณ์ด้วย จึงต้องลงทุนใหม่ทุกอย่างรวมถึงลงทุนแบบลองผิดลองถูกที่ถือว่าซื้อความรู้ด้วย แต่พอรุ่นสองก็ใช้อุปกรณ์เดิมได้โดยเฉพาะระบบน้ำต้นทุนจึงลดลงแทบไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย นอกจากปุ๋ยซึ่งต้องใชปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ผสมผสานกัน อยู่ในอัตราที่เหมาะสม
 "สวนผมค่อนข้างลงทุน เพราะต้องการผลผลิตที่มีคุณภาพ อย่างแปลงที่ปลูกใหม่ 25 ไร่ ลงทุนไปกว่า 2 แสนบาทแล้ว เพราะมีระบบน้ำที่ต้องซื้อเพิ่มเติมจากที่เราขยายพื้นที่มากขึ้น ค่าแรงหนักหน่อย ต้องจ่ายวันละ 2,000-3,000 บาท เพราะผมและแฟนมีเวลาให้งานประจำต้องจ้างทุกอย่างตั้งแต่ขุดหลุมปลูก เอาปุ๋ยรองก้นหลุม แต่ก็คุ้ม" อนุพงษ์ กล่าวอย่างมั่นใจ
 สำหรับการปลูกมะละกอที่จะให้ผลผลิตดีนั้น อนุพงษ์ บอกว่า เริ่มต้นจากเพาะกล้ามะละกอก่อน โดยคลุกเมล็ดกับยาป้องกันโรครากเน่าโคนเน่า อาทิ ใช้เมทาแลกซิล พอมะละกอโตได้สักระยะหนึ่ง ย้ายลงหลุมปลูก 1 หลุ่มปลูก 4-5 ต้น ใช้ระยะห่างแต่ละหลุ่ม 3x3 เมตร ระยะแรกระบบน้ำจะใช้เจ็ทสเปรย์ ส่วนปุ๋ยเค ใช้สูตรเสมอ 16-16-16 ปลูกได้ประมาณ 3 เดือน มะละกอก็จะเริ่มออกดอก จึงคัดต้นที่เป็นต้นกะเทยไว้ ให้เหลือหลุ่มละ 1 ต้น การให้น้ำเปลี่ยนมาใช้ระบบสปริงเกอร์ทุกวัน ส่วนปุ๋ยให้แค่เดือนละครั้ง เป็นสูตร 8-24-24 พื้นที่ 20 ไร่ ให้ครั้งละ 1 ตัน หรือ 20 กระสอบ (กระสอบละ  50 กก.)   พอมะละกออายุได้ 8 เดือน เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว ระหว่างให้ผลผลิตควรให้ปุ๋ยเกล็ดบ้างอาทิตย์ละครั้งในอัตราปุ๋ยเกล็ด 400 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร
 ทั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแวะชมการปลูกมะละกอของอนุพงษ์ และประภา จงใจลาน หากใครสนใจทั้งสองยินดีแนะนำในเรื่องการปลูกมะละกอให้ แวะที่หมู่ 3 ต.มะนาวหวาน อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น